วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week5: มารู้จัก Backstreet Boys กันดีกว่า

Backstreet Boys



Backstreet Boysวงบอยแบนด์จากประเทศสหรัฐอเมริกาที่ประสบความสำเร็จที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยยอดขายอัลบั้มกว่า 130ล้านแผ่นทั่วโลก Backstreet Boys เป็นบอยแบนด์ที่มียอดขายสูงที่สุดในโลก อีกทั้งเป็นหนึ่งในศิลปินที่มียอดขายสูงที่สุดในโลกตลอดกาลอีกด้วย
โด่งดังมากในช่วงปลายยุค 90s ถึงยุคต้น 2000s ด้วยเพลงสุดฮิต อาทิ Get Down, Everybody, As Long As You Love Me, I Want It That Way, The Callและอีกหลายเพลงที่ยังคงเป็นที่จดจำจนถึงปัจจุบัน มียอดขายอัลบั้มมากถึง 73 ล้านชุดทั่วโลก จากอัลบั้มทั้ง 5 ชุด และอัลบั้มรวมฮิต 1 ชุด แบ็กสตรีตบอยส์ มียอดขายกว่า 130 ล้านแผ่น ทั่วโลก ทำให้พวกเขาเป็นวงบอยแบนด์ที่มียอดขายดีที่สุดตลอดกาล และเป็นหนึ่งในศิลปินเพลงที่มียอดขายดีที่สุดในโลก จนถึงปัจจุบัน Backstreet Boys สามารถทำยอดขายได้มากกว่า 76 ล้านชุดทั่วโลก และมีเพลงฮิตติดอันดับตามชาร์ทต่างๆ มากมาย หลังจากอัลบั้ม Unbreakable ในปี 2007 วันนี้พวกเขากลับมาอีกครั้งกับสตูดิโออัลบั้มใหม่ชุดที่ 7 ‘This is Us’ ซึ่งเปิดตัวด้วยซิงเกิลแรก ‘Straight Through My Heart’ ที่มีส่วนผสมระหว่าง Euro dance, Pop และ R&B โปรดิวซ์โดยโปรดิวซ์เซอร์สุดฮ็อท RedOne (Akon, Lady Gaga) ถือเป็นเพลงที่แสดงความเป็นตัวตนของ Backstreet Boys จริงๆ นอกจากนี้พวกเขายังมีโอกาสได้ร่วมงานกับมืออาชีพมากมายในอัลบั้มนี้ ไม่ว่าจะเป็น Ryan Tedder (OneRepublic) ที่มาช่วยในเพลง ‘Undone’ หรือว่า T-Pain ในเพลง ‘She’s A Dream’, Claude Kelly นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียง (แต่ง “Circus” ให้ Britney Spears) ซึ่งร่วมมือกับทีมงาน Soulshock & Karlin (JoJo, Nelly) โปรดิวซ์ 2 เพลงในอัลบั้ม ‘Bye Bye Love’ และ‘If I Knew Then’ และ Jim Jonsin มาช่วยในเพลง Helpless โดยจิมส่งเพลงนี้ไปให้ศิลปินที่มาแรงอย่าง Pitbull ช่วยเขียนเนื้อเพลงให้
สมาชิก
-ไบรอัน ลิตเทรลล์ Brian Littrell (1993-ปัจจุบัน)
-เอ.เจ แม็คคลีน AJ McLean (1993-ปัจจุบัน)
-นิค คาร์เตอร์ Nick Carter (1993-ปัจจุบัน)
-โฮวี่ ดูรัฟ Howie Dorough (1993-ปัจจุบัน)
-เควิน ริชาร์ดสัน Kevin Richardson (1993-2006; 2012–ปัจจุบัน)
ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 5 คน โดย Kevin Richardson ให้เหตุผลที่ลาออกจากวงในปี 2006 ว่าเขาต้องการไปทำสิ่งที่สนใจในด้านอื่นบ้าง เช่น เล่นละครบรอดเวย์ ทำสตูดิโอส่วนตัวที่ผลิตซาวน์เพลงประกอบต่างๆ สำคัญที่สุดคือเขาต้องการมีเวลาให้กับครอบครัว เควินและภรรยาคริสติน ริชาร์ดสันให้กำเนิดลูกชายในเดือน กรกฎาคม 2007. เควินได้กลับมารวมวงอีกครั้งในเดือนเมษายน ปี 2012

จากทางซ้าย คือ นิค คาร์เตอร์, โฮวี่ ดูรัฟไบรอัน ลิตเทรลล์, เควิน ริชาร์ดสันเอ.เจ แม็คคลีน

ประวัติ
Backstreet Boysเริ่มก่อตั้งขึ้นในปี 1993 และโลดแล่นในวงการเพลงมานานกว่า 20ปี ระหว่างปี 1996 ถึง 2001 พวกเขาขึ้นเวทีแสดงสดมากถึง 350 โชว์ กับยอดขายบัตรคอนเสิร์ตมากกว่า 5 ล้านใบ ย้อนกลับไปเมื่อปี 1995 ที่ซิงเกิ้ลแรกของพวกเขาถูกเล่นทางวิทยุ ตอนนั้นเป็นยุคทองของดนตรีกรันจ์ ไม่มีใครคิดว่าเพลง ‘We’ve Got It Going On’ จะถูกเปิดมากไปกว่า ‘Smell Like Teen Spirit’ ของ Nirvana แต่แล้ว แบ็กสตรีตบอยส์ ก็สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของดนตรีป็อปขึ้นเมื่ออัลบั้มแรกของพวกเขาขายได้มากว่า 8 ล้านชุดในอเมริกา และค่อยๆ แผ่ขยายอาณาเขตไปยังประเทศเยอรมนีและแคนาดา
2 อัลบั้มถัดมาคือ ‘Backstreet’s Back’ และ ‘Millennium’ ขายทั่วโลกไปกว่า 24 ล้านก๊อปปี้ และทัวร์คอนเสิร์ตของพวกเขาก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
ปี 2000 แบ็กสตรีตบอยส์ ฉลองการออกอัลบั้ม ‘Black & Blue’ ด้วยการบินโปรโมทอัลบั้มโดยเครื่องบินเจ็ทส่วนตัวไปยัง 5 เมืองสำคัญของแต่ละทวีปคือ สต๊อกโฮล์ม โตเกียว ซิดนีย์ เคปทาวน์ ริโอเดอจาเนโร และนิวยอร์ก ในเวลา 5 วันติดต่อกัน
อัลบั้ม ‘Never Gone’ ได้โปรดิวเซอร์ชื่อดังมากมายมาร่วมกันทำงานในอัลบั้มชุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นโปรดิวเซอร์อย่าง Max Martin ที่ร่วมงานกันมาตั้งแต่อัลบั้มแรก John Ondrasik (ในนาม Five For Fighting), Billy Mann (Pink) และ John Shanks (Michelle Branch) ซิงเกิ้ลแรกจากอัลบั้มนี้คือเพลง ‘Incomplete’
สตูดิโออัลบั้มชุดที่ 6 มีซิงเกิ้ลแรก คือ เพลง “Inconsolable” ที่ได้ Emanuel Kiriakou (โปรดิวซ์ให้นิค ลาเช่ เพลง “What’s Left Of Me” และ แคธรีน แม็คฟี‎ เพลง “Ordinary World”) มาโปรดิวซ์เพลงนี้ให้ ร่วมกับนักแต่งเพลงชื่อดังอย่าง Lindy Robbins และ Jess Cates สำหรับมิวสิกวิดีโอเพลง ‘Inconsolable’ กำกับโดย Ray Kay ผู้กำกับ/ช่างภาพชาวนอร์เวย์ที่รับหน้าที่ถ่ายปกอัลบั้มชุดนี้ด้วย มิวสิกวิดีโอถ่ายทำบนเวนิซ บีช แคลิฟอร์เนีย
หลังจากผลงานอัลบั้มที่8 In A World Like This ในปี 2013 Backstreet Boys ก็ได้เริ่มทัวร์แสดงคอนเสิร์ตรอบโลกครั้งที่ 10 ของพวกเขาภายใต้ชื่อเดียวกัน กับอัลบั้มว่า In A World Like ThisTour การทัวร์คอนเสิร์ตในครั้งนี้มีการแสดงกว่า 140รอบ ในทั้งอเมริกา ยุโรป และเอเชีย

รางวัล
พวกเขาได้รับรางวัลมากมาย อาทิ American Music Awards 2ครั้ง Billboard Music Awards 7 ครั้ง และ MTV Music Video Awards 2ครั้ง และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Grammy ถึง7ครั้ง

ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมานี้ Backstreet Boys ได้เปิดการแสดงขึ้นที่อิมแพค อารีน่า เมืองทองธานี เป็นโอกาสที่แฟนๆ ชาวไทยพลาดไม่ได้กับโอกาสที่จะย้อนรำลึกความหลังกับสมาชิก ทั้ง5หนุ่ม A.J.McLean, Howie Dorough, Nick Carter, Brian Littrellและ Kevin Richardson
เราเชื่อว่าเพลงทุกเพลงของBackstreet Boys ยังคงเป็นเพลงฮิตตลอดกาลในใจแฟนๆ จนถึงปัจจุบัน

Credit:


วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Week4: โปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ (C/C++/C#/Java)

ภาษาจาวา (Java)



Java คืออะไร
ภาษาจาวา เป็นภาษาโปรแกรมเชิงวัตถุที่พัฒนาขึ้นโดย  “เจมส์ กอสลิง”   และทีมวิศวกรของเขา ซึ่งบริษัทซันไมโครซิสเต็ม ต้องการนำภาษาจาวามาใช้แทนภาษา  C++  ชื่อของ จาวามาจากชื่อกาแฟที่ทีมวิศวกรของซันดื่มตอนที่ร่วมกันพัฒนาภาษาจาวาขึ้นมา  Java  ถูกคิดค้นและสร้างโดย บริษัท Sun Microsystems ซึ่งเป็นบริษัทผู้ขายระบบ Unix ที่มีชื่อว่า Solaris ซึ่งจุดเด่นของภาษา Java อยู่ที่ผู้เขียนโปรแกรมสามารถใช้หลักการของ Object-Oriented Programming มาพัฒนาโปรแกรมของตนด้วย Java ได้ พัฒนาขึ้นโดยทีมวิจัยของ บริษัท ซันไมโครซิสเต็ม (Sun Microsystems)พัฒนามาจากโครงการที่ต้องการพัฒนาระบบซอฟต์แวร์เพื่อควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าขนาดเล็กภายในบ้านชื่อเดิมคือภาษา Oak ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาจาวาภาษาจาวาเริ่มเป็นที่นิยมแพร่หลายในปี .. 1995ภาษาจาวาเป็นภาษาที่ไม่ขึ้นกับแพลตฟอร์ม (platform independent)JDK 1.0 ประกาศใช้เมื่อปี1996JDK เวอร์ชันปัจจุบันคือ Java 2

วิวัฒนาการของภาษาจาวาจากรุ่นแรกถึงจาวา 1.5
1.  (.. 1996) — ออกครั้งแรกสุด

2.  (.. 1997) — ปรับปรุงครั้งใหญ่ โดยเพิ่ม Inner Class

3.  (4 ธันวาคม .. 1998) — รหัส Playground ด้านจาวาแพลตฟอร์มได้รับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ใน API และ JVM (API สำคัญที่เพิ่มมาคือ Java Collections Framework และ Swing; ส่วนใน JVM เพิ่ม JIT Compiler) แต่ตัวภาษาจาวานั้น เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย (เพิ่มคีย์เวิร์ด strictfp) และทั้งหมดถูกเรียกชื่อใหม่ว่า จาวา 2″ แต่ระบบเลขรุ่นยังไม่เปลี่ยนแปลง

4.  (8 พฤษภาคม .. 2000) — รหัส Kestrel แก้ไขเล็กน้อย

5.  (13 กุมภาพันธ์ .. 2002) — รหัส Merlin เป็นรุ่นที่ถูกใช้งานมากที่สุดในปัจจุบัน (ขณะที่เขียน .. 2005)

6.  (29 กันยายน .. 2004) — รหัส Tiger (เดิมทีนับเป็น 1.5) เพิ่มคุณสมบัติใหม่ในภาษาจาวา เช่น Annotations ซึ่งเป็นที่ถกเถียงกันว่านำมาจากภาษาซีชาร์ป ของบริษัทไมโครซอฟท์, Enumerations, Varargs, Enhanced for loop, Autoboxing, และที่สำคัญคือ Generics

การพัฒนาการในช่วงเวลาต่าง
ถูกพัฒนาตั้งแต่ปี 1991 โดยบริษัท Sun Microsystems ซึ่งเป็น ส่วนหนึ่งของ Green Project
Write Once Run Anywhere
..1991
บริษัท ซันไมโครซิสเต็ม (Sun Microsystems) ได้ทำการวิจัยเพื่อพัฒนาซอฟต์แวร์ที่ใช้ควบคุมอุปกรณ์เล็กทรอนิคส์ขนาดเล็ก ซึ่งได้ผลลัพธ์ที่สำคัญคือ ภาษาโอ๊ค (Oak)
..1993
ภาษาโอ๊คได้ถูกปรับปรุงใหม่เพื่อใช้ในการสร้างเว็บแอพพลิเคชั่น (Web Application) พร้อมกับสร้างเว็บเบราว์เซอร์ (Web Browser) ที่รองรับ ชื่อว่าเว็บรันเนอร์ (Web Runner)
..1995
บริษัทซันได้เปิดตัวภาษาจาวา (Java) (ภาษาโอ๊คเดิม) พร้อมกับเว็บเบราว์เซอร์ ที่รองรับภาษานี้ ชื่อว่า ฮอตจาวา (HotJava) (WebRunner เดิม)
ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ทั้งเน็ตสเคบ (Netscape), ไมโครซอฟต์ (Microsoft), และ ไอบีเอ็ม (IBM)
บริษัทซัน ได้เริ่มแจกจ่าย Java development Kit (JDK) ซึ่งเป็นชุดพัฒนาโปรแกรมภาษาจาวาในอินเทอร์เน็ต

ความหมาย
ภาษาจาวา (Java Language) คือ ภาษาคอมพิวเตอร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยบริษัท ซันไมโครซิสเต็มส์ เป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP : Object-Oriented Programming) โปรแกรมที่เขียนขึ้นถูกสร้างภายในคลาส ดังนั้นคลาสคือที่เก็บเมทอด (Method) หรือพฤติกรรม (Behavior) ซึ่งมีสถานะ (State) และรูปพรรณ (Identity) ประจำพฤติกรรม (Behavior)
การโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP = Object-Oriented Programming)
การเขียนโปรแกรมที่ประกอบด้วยกลุ่มของวัตถุ(Objects) แต่ละวัตถุจะจัดเป็นกลุ่มในรูปของคลาส ซึ่งแต่ละคลาสอาจมีคุณสมบัติ การปกป้อง (Encapsulation) การสืบทอด (Inheritance) การพ้องรูป (Polymorphism)

แนวคิดของการโปรแกรมเชิงวัตถุ (OOP Concepts)
1. การปกป้อง (Encapsulation)

การรวมกลุ่มของข้อมูล และกลุ่มของโปรแกรม เพื่อการปกป้อง และเลือกตอบสนอง

2. การสืบทอด (Inheritance)

ยอมให้นำไปใช้ หรือเขียนขึ้นมาทดแทนของเดิม

3. การพ้องรูป (Polymorphism) = Many Shapes

– Overloading มีชื่อโปรแกรมเดียวกัน แต่รายการตัวแปร (Parameter List) ต่างกัน

– Overriding มีชื่อโปรแกรม และตัวแปรเหมือนกัน เพื่อเขียน behavior ขึ้นมาใหม่


คุณลักษณะเด่นของภาษา Java
–  ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์

–  โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้

–  เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ถึง 4 เท่า และใช้เวลาในการเขียนโปรแกรม น้อยกว่าประมาณ 2 เท่า

–  Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของภาษาจาวา


จุดเด่นของภาษาจาวา
–  ความง่าย (simple)

–  ภาษาเชิงออปเจ็ค (object oriented)

–  การกระจาย (distributed)

–  การป้อ้องกันการผิดพลาด (robust)

–  ความปลอดภัย (secure)

–  สถาปัตัตยกรรมกลาง (architecture neutral)

–  เคลื่อนย้ายง่าย (portable)

–  อินเตอร์พ์พรีต (interpreted)

–  ประสิทธิภาพสูง (high performance)

–  มัลติเธรด (multithreaded)

–  พลวัต (dynamic)

ข้อดีของ ภาษา Java
     -  ภาษา Java เป็นภาษาที่สนับสนุนการเขียนโปรแกรมเชิงวัตถุแบบสมบูรณ์ ซึ่งเหมาะสำหรับพัฒนาระบบที่มีความซับซ้อน การพัฒนาโปรแกรมแบบวัตถุจะช่วยให้เราสามารถใช้คำหรือชื่อ ต่าง ที่มีอยู่ในระบบงานนั้นมาใช้ในการออกแบบโปรแกรมได้ ทำให้เข้าใจได้ง่ายขึ้น

     -  โปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยใช้ภาษา Java จะมีความสามารถทำงานได้ในระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกัน ไม่จําเป็นต้องดัดแปลงแก้ไขโปรแกรม เช่น หากเขียนโปรแกรมบนเครื่อง Sun โปรแกรมนั้นก็สามารถถูก compile และ run บนเครื่องพีซีธรรมดาได้

     -ภาษาจาวามีการตรวจสอบข้อผิดพลาดทั้งตอน compile time และ runtime ทำให้ลดข้อผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นในโปรแกรม และช่วยให้ debug โปรแกรมได้ง่าย

     - ภาษาจาวามีความซับซ้อนน้อยกว่าภาษา C++ เมื่อเปรียบเทียบ code ของโปรแกรมที่เขียนขึ้นโดยภาษา Java กับ C++ พบว่า โปรแกรมที่เขียนโดยภาษา Java จะมีจํานวน code น้อยกว่าโปรแกรมที่เขียนโดยภาษา C++ ทำให้ใช้งานได้ง่ายกว่าและลดความผิดพลาดได้มากขึ้น 

     -  ภาษาจาวาถูกออกแบบมาให้มีความปลอดภัยสูงตั้งแต่แรก ทำให้โปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยจาวามีความปลอดภัยมากกว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้น ด้วยภาษาอื่น เพราะ Java มี security ทั้ง low level และ high level ได้แก่ electronic signature, public andprivate key management, access control และ certificatesของ

     -มี IDE, application server, และ library ต่าง มากมายสำหรับจาวาที่เราสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย ทำให้เราสามารถลดค่าใช้จ่ายที่ต้องเสียไปกับการซื้อ tool และ s/w ต่าง

ข้อเสียของ ภาษา Java
    -ทำงานได้ช้ากว่า native code (โปรแกรมที่ compile ให้อยู่ในรูปของภาษาเครื่อง) หรือโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาอื่น อย่างเช่น C หรือ C++ ทั้งนี้ก็เพราะว่าโปรแกรมที่เขียนขึ้นด้วยภาษาจาวาจะถูกแปลงเป็นภาษากลาง ก่อน แล้วเมื่อโปรแกรมทำงานคำสั่งของภาษากลางนี้จะถูกเปลี่ยนเป็นภาษาเครื่องอีก ทีหนึ่ง ทีล่ะคำสั่ง (หรือกลุ่มของคำสั่ง) runtime ทำให้ทำงานช้ากว่า native code ซึ่งอยู่ในรูปของภาษาเครื่องแล้วตั้งแต่ compile  โปรแกรมที่ต้องการความเร็วในการทำงานจึงไม่นิยมเขียนด้วยจาวา

    -tool ที่มีในการใช้พัฒนาโปรแกรมจาวามักไม่ค่อยเก่ง ทำให้หลายอย่างโปรแกรมเมอร์จะต้องเป็นคนทำเอง ทำให้ต้องเสียเวลาทำงานในส่วนที่ tool ทำไม่ได้ ถ้าเราดู tool ของ MS จะใช้งานได้ง่ายกว่า และพัฒนาได้เร็วกว่า (แต่เราต้องซื้อ tool ของ MS และก็ต้องรันบน platform ของ MS)

รูปแบบของภาษา Java
ภาษา Java เป็นภาษาที่ไม่กำหนดแบบการเขียนโปรแกรม ในแต่ละบรรทัด แต่ละบรรทัดสามารถเขียนคำสั่งได้หลายคำสั่งสามารถแทรกคำอธิบาย (comment) Java เป็นภาษาที่บังคับอักขระตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก (Case Sensitiv) Java มีตัวดำเนินการ(operators) หลายชนิด ให้ใช้งานนอกจากคำสั่งนั้นเป็นคำสั่งที่ผู้ใช้สร้างขึ้นมาใหม่ อาจกำหนดเป็นตัวพิมพ์ใหญ่หรือตัวเล็กก็ได้ และสามารถเขียนชุดคำสั่งที่ประกอบด้วยตัวดำเนินการหลายตัวที่ต่างชนิดกันในชุดคำสั่งหนึ่งๆได้ โดยภาษา Java จะจัดลำดับการประมวลผลตามลำดับการทำงานของตัวดำเนินการ
รูปแบบคำสั่ง(statements) Java คือ ส่วนประมวลผล(Execute) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ออกมา ทุกคำสั่งจะต้องจบด้วยเครื่องหมาย เซมิโคลอน( ; )

รูปแบบของ script
ในการเขียน script สามารถเขียน โดยในรูปแบบที่ 1 ได้โดยไม่ต้องระบุภาษาก็ได้ แต่ต้องเขียน tag ของ script ดังรูป
<Script>
JavaScript statements;
</Script>
<Script>
document.write(‘kittisak’);
</Script>
ในการเขียน script ตามรูปแบบที่ 2 โดยระบุภาษาเป็น javascript และเขียนใน tag ของ script ดังรูป
<Script Language=”JavaScript”>
JavaScript statements;
</Script>
การคำสั่งแสดงผล single quote (‘ ‘)
ในการเขียนการแสดงผลข้อมูลที่อยู่หลังคำสั่ง document นั้นสามารถเขียนใช้เครื่องหมายในแบบ single quote (‘ ‘) ก็ได้ดังรูป
<Script Language=”JavaScript”>
document.write(‘kittisak’);
</Script>
การใช้ HTML ร่วมกับ script ขึ้นบรรทัดใหม่ โดยใช้ <br>
การกำหนดให้ขึ้นบรรทัดใหม่ ส่วนใหญ่จะใช้รูปแบบของ tag HTML คือ <br> โดยการใส่ไว้หลังคำสั่ง document อาจจะเป็นข้างหน้า หรือข้างหลังก็ได้
<Script Language=”JavaScript”>
document.write(‘kittisak<br;
document.write(‘<fontlor=”red”>khampud</font>’);
</Script>
Source Code
ใน Java จะมี Source Code เป็น File ที่มีนามสกุล เป็น *.java เมื่อ ผ่านการ Compile แล้วจะมี File เพิ่มมาเป็น File ที่มีนามสกุลเป็น *.class  System.out.println  (“….” ); เป็นคำสั่งที่ใช้การแสดงตัวอักษรซอร์สโค้ดโปรแกรมจาวาอยู่ในแฟ้มที่มีนามสกุล  java


Credit: